The 4-Hour Workweek
เป็นหนังสือที่ถูกพิมพ์ครั้งแรกเมื่อราว 8 ปีมาแล้ว ในยุคที่อินเตอร์เน็ตยังเพิ่งจะเริ่มก้าวออกจากความเป็น 56Kbps เป็นหนังสือระดับ เป็นหนังสือที่แปลแล้ว 35 ภาษาทั่วโลก เป็นหนังสือที่คุณบัณฑิต อึ้งรังสี เลือกที่จะอ่านและเอ่ยถึงใน CD ของเขา
แต่ที่ประเทศไทยหนังสือเล่มนี้กลับนอนนิ่งในโกดังของสำนักพิมพ์ มีคนจำนวนไม่มากที่ได้อ่านในการพิมพ์ครั้งแรก และผมก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จากการพิมพ์ครั้งที่ 2 และเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเพราะเขาคงจะไม่มีพิมพ์ออกมาใหม่อีกแล้ว (หลังจากนี้จะมีสำนักพิมพ์ใหม่มาจัดพิมพ์ฉบับใหม่)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHtd87rwxN7nP5SxgIq4zIi7McpDQvbwd8JrOJ1hjULeVA1-v_2wRPsB9_MeNo05cunwtes5LXNU5ISTJpPE-T8wpRlNALfKFflgK2cq9n_yLV9TpQYVHKWWbtxG4AJoQ-T9bXoY6keHY/s1600/tim-ferris.jpg)
โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ ยิ่งถ้าเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจด้วยยิ่งชอบอ่าน (ราวกับเป็นคนขาดแรงบันดาลใจเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม) ที่ชอบก็เพราะว่ามันสามารถทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนเขียนหนังสือทีละเล็กละน้อยว่า คนอื่นที่เขาประสบความสำเร็จในด้านต่างๆนั้น มีความคิดอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน ซึ่งต้องมีสักเรื่องที่สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตเราได้
The 4-Hour Workweek เล่มนี้ก็เช่นกันครับ
ก่อนที่ผมจะได้หนังสือเล่มนี้นั้น ผมเห็นว่ามันเป็นที่นิยมกันในกลุ่มเพื่อนคนทำ IM ( Internet Marketing ) ใน Facebook ของผม โดยเริ่มจากการแนะนำของคุณอั้ม แห่งบล๊อก asuradech.com จากนั้นก็เริ่มมีคนอื่นหาซื้อมาอ่านกัน หลายคนยกย่องให้เป็นแบบพิมพ์เขียวของการทำงานเลยทีเดียว
The 4-Hour Workweek มีดีขนาดนั้นเชียวหรือ?
ผมจึงเริ่มเดินหาหนังสือตามร้านหนังสือต่างก็ได้คำตอบว่าไม่มี หนังสือออกมานานมากแล้ว สุดท้ายจึงได้สอบถามกับคุณเอ๋ วัชระ มณีศรี ซึ่งได้แนะนำร้านที่สั่งซื้อออนไลน์ได้ และในที่สุด The 4-Hour Workweek ก็ถูกส่งมาถึงมือผมจนได้ ยอมรับว่าตื่นเต้นเลยทีเดียวนะกับการรอคอยที่จะอ่านเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากเป็นการซื้อหนังสือตามรีวิวของคนอื่นเป็นครั้งแรก โดยปกติแล้วผมจะค่อยๆเลือกอ่านหนังสือที่มีตามร้านหนังสือ แล้วค่อยเลือกซื้อเอาครับ บางทีชั้นหนังสือในร้านก็ไม่ได้โชว์หนังสือที่ดีได้ทั้งหมด ทำให้เราพลาดหนังสือดีๆไปได้
มาดูกันว่าหนังสือเล่มนี้มีดีอย่างไรบ้าง
The 4-Hour Workweek เป็นหนังสือแบบไหน
ใช้ชีวิตมั่งคั่งพร้อมพรั่งความสุข ด้วยแนวคิดอันชาญฉลาดที่ทำให้คุณเป็นเศรษฐีได้ในวัยหนุ่มสาวนี่คือคำโปรยบนปกหน้าของหนังสือ ซึ่งผมว่ามันก็บ่งบอกถึงแนวคิดอันทำให้เกิดหนังสือเล่มนี้ และเป็นแนวคิดที่หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดมาสู่คนอ่านด้วย
แม้หนังสือจะถูกพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2007 (ภาษาอังกฤษ) แต่เนื้อหายังคงเป็นปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ ยังคงเป็นแนวคิดที่สามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการปรับใช้และปฏิบัติตามได้ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยลดเวลาการทำงานลงและยังคงมีผลงานที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้ตนเองสามารถมีอำนาจที่จะต่อรองกับนายจ้างได้ หรือแม้แต่เจ้าของกิจการก็ใช้หลักการแบบเดียวกันด้วยการลดการทำงานที่ไม่จำเป็น แล้วเลือกทำแต่งานที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น (โดยประสิทธิภาพของงานยังคงทำเดิม)
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราลาออกจากงานมาเป็นเถ้าแก่น้อย เจ้าของกิจการร้อยล้าน หมื่นล้านแต่อย่างใดตรงกันข้ามเลย ทิม เฟอร์ริสส์ บอกว่าเราสามารถที่จะมีอิสรภาพได้แม้จะยังนั่งทำงานเป็นลูกจ้างเขาอยู่ ด้วยวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้น (ทำงานให้ได้ผลงานที่สำคัญ) ด้วยเวลาที่น้อยลง ไม่ใช่แค่ทำงานโดยอาศัยแต่สมรรถภาพเท่านั้น (หมายถึงการทำงานที่ได้แค่ปริมาณโดยที่งานยังคงไม่มีความสำคัญ) การทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ ต่างกับ การทำงานอย่างมี สมรรถภาพ อย่างไรในรายละเอียดนั้นคุณคงต้องอ่านจากหนังสือเอาครับ เขาอธิบายไว้ดีแล้ว
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราโหมทำงานหนักอย่างไร้ความสุขเพื่อเก็บเงินล้านเอาไว้ใช้อย่างมีความสุขตอนเกษียณนี่คือแนวคิดที่ผมชอบ คือ การกระจายความสุขให้มีตลอดทุกช่วงชีวิต เราควรมีความสุข ได้ใช้สิ่งของที่ต้องการ ได้เดินทางไกลไปต่างประเทศ ได้เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็น ในช่วงเวลาที่ดี หนุ่มสาวและยังมีกำลังวังชาอยู่เต็มเปี่ยม ไม่ใช่เก็บทุกอย่างเอาไว้ตอนแก่ตอนเกษียณ เพราะจะมีประโยชน์อะไรเหมือนกับที่เขาว่า ตอนแก่ มีเวลา แต่ไม่มีเงิน หรืออาจจะมีเงินแต่สังขารไม่ไหวแล้วก็ได้
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราเอาแต่หาความสุขจนไม่คิดถึงอนาคตยามเกษียณแก่ด้วยแนวคิดที่ครอบคลุมในทุกด้านของชีวิตมาแล้ว การมีเงินใช้จ่ายยามเกษียณเมื่อแก่นั้นก็รวมอยู่ในแผนการใน หนังสือ The 4-Hour Workweek นี้ด้วย แม้จะไม่ใช่หัวข้อหลักขนาดใหญ่แต่ก็พูดถึงเอาไว้ใจความว่า แผนเกษียณก็เหมือนกันชูชีพที่จะไม่ทำให้เราตกต่ำเมื่อถึงจุดต่ำสุด แต่อย่าได้สับสนเอามันมาเป็นเป้าหมายในชีวิต
หนังสือเล่มนี้ยังคงพูดถึงสิ่งอมตะเรื่อง Passive incomeแน่นอนว่าการจะใช้ชีวิตได้อย่างหนังสือ The 4-Hour Workweek แบบ ทิม เฟอร์ริสส์ นั้นต้องมีการเตรียมพร้อมในการสร้าง Passive income มาเป็นอย่างดีแต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือ How to อย่างละเอียดที่จะบอกคุณว่าทำอย่างไรถึงจะมี Passive income ได้ หนังสือแนวนี้มีเยอะแล้วในท้องตลาด แต่ว่า ทิม เฟอร์ริสส์ เองก็ได้ยกตัวอย่างสิ่งที่เขามีให้เราดูอยู่บ้าง อย่างเช่นแผนผังของกิจการ สินค้าของเขา ที่ไม่มีตัวทิมอยู่ในแผนผังเลย ซึ่งเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก ในส่วนที่เหลือคือการค้นหาและทำในสิ่งที่เราต้องทำเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของกิจการและ How to ที่ทำได้จริงอยู่ในหนังสืออีกหลายเคสด้วย
หนังสือ The 4-Hour Workweek เหมาะกับใคร
- คนที่มีความรู้ในเรื่องส่วนประกอบของการมีอิสรภาพมาพอสมควร หรือไปศึกษาเอาส่วนประกอบเหล่านั้นได้หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้
- คนที่รู้สึกตัวแล้วว่า การทำงานหนักไปจนแก่ เพื่อรอที่จะมีชีวิตเกษียณแสนสุขตอนอายุ 60 ไม่ใช่เรื่องดีแน่แล้ว
- คนที่ต้องการพัฒนาและเติมเต็มในทุกด้านของชีวิต โดยเฉพาะคนในช่วงอายุที่ต้องทำงาน ซึ่งหลายสิ่งขาดหายไป
หนังสือ The 4-Hour Workweek ไม่เหมาะกับใคร
- ไม่เหมาะกับคนที่อยากสบาย แต่รวยได้ เนื่องจากชื่อหนังสือภาษาไทยคือ สบายดี แต่รวยได้ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดตั้งแต่แรกเห็น และถ้าความรู้ไม่พอที่จะสังเคราะห์เนื้อหาในหนังสือก็อาจจะทำให้ตีความหมายคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งอาจจะเป็น ขี้เกียจได้ แต่ก็อยากรวยด้วย ไปซะ
ส่วนใครที่อ่านภาษาอังกฤษออกก็สามารถซื้อได้ที่ร้านหนังสือระดับโลก อย่าง Amazon.com ซึ่งจะมีทั้งแบบ Paper และ eBook หรืออาจจะสั่งซื้อผ่าน AsiaBook ก็ได้ครับ
และเป็นที่น่าดีใจสำหรับคนที่อยากได้หนังสือเล่มนี้ เพราะตอนนี้มีฉบับแปลใหม่ให้เราได้ซื้ออ่านกันแล้วในชื่อ “ทำน้อยแต่รวยมาก” สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปเลยครับ หรืออ่านรีวิว “ทำน้อยแต่รวยมาก” เล่มใหม่ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างได้ครับ