![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqPiRAMVqGMdtiH9bAIEEGpQ3Q9BuEteudexx3MPs9tEvqWQXGkebxFDbVXfoRb06Te9NE7HxWZ1PtVlzHNF0Och0VEQu9faQWb4Sua6WnHNjmbYYHxxehWzb2iIZx0HzSPAWMr7u753c/s640/Amazon-FBA-800x445.png)
การขนส่งสินค้าทั้ง 3 แบบมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้างเริ่มจากแบบแรก
1 การส่งด้วยตนเอง ผ่านช่องทางต่างๆ เช่นไปรษณีย์ไทย DHL หรือ FedEX เป็นต้น
วิธีนี้จะเป็นวิธีพื้นฐานที่สุด หากว่าเราเป็นผู้ขายที่มีสินค้าอยู่ในมือเอง เป็นผู้ผลิตสินค้าเอง หรือจะเป็นของที่เราหาซื้อมาส่งเองจากแหล่งต่างๆก็ตาม วิธีการส่งของจริงๆ ไม่ยุ่งยาก แต่ความยากจะไปอยู่ที่การคำนวณค่าส่ง ถ้าไม่คำนวณให้ดี มีสิทธ์ขาดทุนจากค่าส่งได้
การส่งสินค้าด้วยตัวเองนั้น ปกติแล้วจะนิยมการส่งแบบพัสดุย่อยทางอากาศมากกว่าแบบอื่น เนื่องจากราคาไม่แพง ระยะเวลาที่ส่งก็ไม่นานมาก จึงถือว่าค่อนข้างลงตัว นอกจากค่าส่งสินค้าที่คิดตามน้ำหนักแล้วยังต้องบวกค่าลงทะเบียนสินค้าเป็นเงิน 65 บาท เพื่อให้ได้เลข Tracking มาใช้แจ้งลูกค้าอีกด้วย
การคิดค่าส่งของ Seller Account ทั้ง 2 Plan ก็ยังต้องแตกต่างกันด้วยเนื่องจาก Individual Plan จะไม่สามารถกำหนดค่าส่งเองได้ (ปกติแล้วจะอยู่ที่ $4.49 ) ทำให้นอกเหนือจากค่าส่งที่ถูกกำหนดมาแน่นอนนี้ กำไร, ค่าธรรมเนียม, ค่าสินค้า และส่วนต่างค่าส่งจึงต้องไปบวกเอากับราคาขายแทน
2 การใช้บริการ Dropship จากผู้ผลิตสินค้าหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบบ Drop Ship
การใช้วิธีนี้มีข้อดีมากตรงที่ว่า ทางซับพลายเออร์จะคิดค่าบริการมาแล้ว ทำให้เรารู้เลขกลมๆ ที่จะใช้บวกทำกำไรได้เลยจากราคาสินค้า ยกตัวอย่างเช่น
ค่าสินค้าจาก Aliexpress + Free Shipping + ค่าธรรมเนียม Amazon = ราคาขายของสินค้าได้ทันที ถ้าเป็นแบบ Individual Plan ยังมีค่าส่งสินค้าที่ถูกคิดไว้แล้วอีกต่างหาก ในกรณีแบบนี้คือกำไร
3 การใช้บริการของ Amazon FBA หรือการให้ทาง Amazon เป็นผู้จัดส่งสินค้าให้
การใช้บริการ Amazon FBA ถือเป็นเหมือนกับการรวมข้อดีของทั้งสองแบบด้านบน แต่ก็รวมทั้งจข้อเสียด้วย นั่นคือ มันเป็นการส่งสินค้าด้วยตัวเองเพื่อให้ทาง Amazon จัดการDropship สินค้าถึงลูกค้าให้เราจากที่นั่นนั่นเอง
ซึ่งการคิดคำนวณต้นทุนสินค้าจะมีความยุ่งยากมากขึ้นไปอีก แต่ก็มีข้อดีก็คือ
- สามารถเข้าไปอยู่ใน Amazon Prime สินค้าลูกส่งถึงลูกค้าได้เร็วขึ้น (ซึ่งปกติการส่งสินค้าจากประเทศไทย หรือประเทศจีนจะใช้เวลามากกว่า 20 กว่าจะถึงอเมริกา) ส่งผลให้ Feedback score ดีขึ้นด้วย
- สามารถทำให้สินค้าเข้าไปอยู่ใน sell rank ดีๆได้ ช่วยให้มีโอกาสขายได้มากขึ้น
Seller Plan ทั้ง 2 แบบ สามารถทำ FBAได้ แต่เพราะความแตกต่างกันของ Amazon Seller Plan ทั้งสอง ทำให้ FBA เหมาะกับผู้ขายที่ต้องการสร้างยอดขายจำนวนมาก จึงทำให้มันเหมาะกับคนที่ใช้ Professional Plan มากกว่า
อ่านรายละเอียดของ Amazon FBA
ดังนั้นใครจะเลือกใช้วิธีการส่งสินค้าแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมได้เลย ใช้ทั้ง 3 แบบกับสินค้าที่แตกต่างกันก็ได้ครับ หวังว่าคุณคงจะได้คำตอบสำหรับวิธีการส่งสินค้าไปขายกับ Amazon ที่เหมาะกับคุณ